สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมการประชุม STS Forum 2025 ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

News 10 ตุลาคม 2568 15

NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมการประชุม STS Forum 2025 ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น หารือนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับผู้นำระดับโลก พร้อมอภิปรายแนวทางการพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย

 
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ประธานกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ และ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมการประชุม STS Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 7 ตุลาคม 2568 ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้พระราชอุปถัมภ์ของ สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น โดยมีผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชนกว่า 1,500 คนจากกว่า 80 ประเทศ เข้าร่วมงาน
 
เป้าหมายหลักของการประชุมคือ การเสวนาและแลกเปลี่ยนมุมมองข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืนต่อมนุษยชาติและโลก โดยหัวข้อหลักของปีนี้คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับอนาคตของสังคมมนุษย์ โดยมีการอภิปรายในหลายมิติ ทั้งด้านการกำกับดูแล จริยธรรม การศึกษา การแพทย์ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
 
• Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์): การกำกับดูแล ความเท่าเทียม และการบูรณาการทางสังคม AI ถูกมองว่าเป็นพลังเปลี่ยนแปลงระดับระบบโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางเทคนิค การอภิปรายหลายช่วงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของกรอบการกำกับดูแลระดับโลกที่ยึด “คุณค่าความเป็นมนุษย์” เป็นศูนย์กลาง เช่น กระบวนการ G7 Hiroshima AI Process และข้อเสนอของ UN เรื่อง International Scientific Panel on AI ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั่วโลกมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI เช่น มหาวิทยาลัย ETH Zurich และโครงการ SEA-LION ของสิงคโปร์ ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางภาษาและวัฒนธรรม เพื่อให้เทคโนโลยีไม่มีข้อจำกัดเฉพาะภาษาอังกฤษ
 
• Climate Action and Circular Civilization: การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม: สู่ “อารยธรรมหมุนเวียน” ประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นหัวใจสำคัญ โดยเน้นแนวคิด “Circular Civilization” ซึ่งรวมเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น นิวเคลียร์ฟิวชัน พลังงานไฮโดรเจน และระบบกริดอัจฉริยะ (Smart Grid) เข้ากับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ตัวอย่างเช่น วิสัยทัศน์ GX 2040 ของญี่ปุ่น และแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนของซาอุดีอาระเบีย ถูกยกเป็นแบบอย่างในการลดคาร์บอนโดยไม่ละเลยเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมเน้นว่าเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การศึกษา และกฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง
.
• Healthcare Transformation through AI and Biotechnology: การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปัจจุบัน AI และชีวเทคโนโลยีกำลังปฏิวัติวงการแพทย์ ตั้งแต่การวินิจฉัยโรคแม่นยำ การค้นหายาใหม่ ไปจนถึงการวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล การเสวนาสะท้อนให้เห็นว่า AI ต้องเป็น “ผู้ช่วยแพทย์” มากกว่า “ผู้แทนแพทย์” โดยเน้นการคงไว้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ความรับผิดชอบ และความไว้วางใจ ขณะเดียวกัน การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างการตัดต่อยีน การบำบัดด้วย mRNA และออร์แกนอยด์ กำลังสร้างโอกาสใหม่ แต่ก็เพิ่มความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงการรักษา จึงมีข้อเสนอให้พัฒนาฐานข้อมูลพันธุกรรมระดับโลกที่มีจริยธรรม และระบบกำกับดูแลที่เอื้อต่อความร่วมมือข้ามพรมแดน
 
• Education and Human Capital in AI Era : การศึกษาและทุนมนุษย์ในยุค AI การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องเปลี่ยนจากการถ่ายทอดความรู้ไปสู่การพัฒนาทักษะคิดเชิงวิพากษ์ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการรู้เท่าทัน AI (AI Literacy) สถาบันการศึกษาจำเป็นต้องสร้างหลักสูตรที่ผสานความเข้าใจด้านเทคโนโลยีกับจริยธรรม ในขณะเดียวกัน AI สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาได้ หากได้รับการออกแบบอย่างรอบคอบ การอภิปรายย้ำว่ามหาวิทยาลัยควรมีมาตราการและกฎเกณฑ์การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม โดยสร้างการเข้าถึงข้อมูลแบบระบบเปิด (Open-source) และส่งเสริมความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมในการเรียนรู้
 
• Innovation Ecosystem and Global Collaboration: นวัตกรรม ระบบนิเวศ และความร่วมมือระดับโลก การพัฒนานวัตกรรมเชิงลึก (Deep Tech) จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือหลากหลายภาคส่วน อันได้แก่ ภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และองค์กรสาธารณะ ตัวอย่างจากฝรั่งเศส ไต้หวัน และเยอรมนี แสดงให้เห็นว่าการมี “ตัวกลางเชิงนวัตกรรม” (Innovation Translators) สามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างงานวิจัยกับการประยุกต์ใช้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนบุคลากรและความรู้ (“Knowledge Circulation”) ถูกเสนอให้แทนที่แนวคิด “Brain Drain” โดยยึดหลักความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์อย่างเปิดกว้างและป้องกันลัทธิชาตินิยมทางเทคโนโลยี
 
• Quantum Technology and the New Frontier: เทคโนโลยีควอนตัม: ขอบเขตใหม่ของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีควอนตัมได้เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการทดลองสู่การใช้งานจริง ทั้งด้านคอมพิวเตอร์ควอนตัม เซนเซอร์ และการสื่อสาร ปัจจุบันมีการนำไปใช้ในการเงิน วิทยาศาสตร์วัสดุ และการจัดการโลจิสติกส์ โดยเฉพาะเมื่อเชื่อมกับ AI อย่างไรก็ตาม ความท้าทายทางวิศวกรรม เช่น การแก้ไขข้อผิดพลาดของคิวบิตและการสเกลระบบ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยผู้ร่วมอภิปรายเสนอให้มีมาตรฐานสากลและระบบการศึกษาเชิงควอนตัมแบบเปิด (Open Quantum Education) เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนามีส่วนร่วมใน “การปฏิวัติควอนตัม” ได้อย่างเท่าเทียม
 
• Brain Technology and the Future of Human Identity เทคโนโลยีด้านสมอง และอัตลักษณ์มนุษย์ ความก้าวหน้าในด้าน Neurotechnology เช่น Brain–Computer Interface (BCI) และการวัดสุขภาพสมอง กำลังท้าทายขอบเขตระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อปกป้อง “ความเป็นส่วนตัวทางจิต (Mental Integrity)” เช่น สิทธิในข้อมูลสมองและความยินยอมอย่างรอบรู้, โมเดลเชิงวัฒนธรรม เช่น Brain Health Quotient ของญี่ปุ่นถูกยกเป็นกรณีศึกษาว่าการพัฒนาสมองควรสอดคล้องกับบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ
.
• Sustainability and Biodiversity in a Circular Society ความยั่งยืนและความหลากหลายทางชีวภาพ ปีนี้การประชุมเน้นย้ำถึงการขยายมุมมองจาก “ความยั่งยืนด้านคาร์บอน” ไปสู่ “การดูแลระบบนิเวศโดยรวม” โดยชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจ ระบบธรรมชาติ และเทคโนโลยีข้อมูล นวัตกรรมด้านเมตาจีโนมิกส์ เกษตรเชิงนิเวศ และเคมีสีเขียว รวมถึงแนวคิดการให้มูลค่าทุนธรรมชาติ (Natural Capital Accounting) และการใช้ AI ในการติดตามระบบนิเวศอย่างแม่นยำ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจเชิงฟื้นฟู
 
• Science Diplomacy and Research Security in a Fragmented World การทูตทางวิทยาศาสตร์และความมั่นคงของการวิจัย ในยุคของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การทูตทางวิทยาศาสตร์ (Science Diplomacy) ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง “ความไว้วางใจระดับโลก” โดยเน้นการเปิดเผยข้อมูล การแลกเปลี่ยนบุคลากรและการร่วมพัฒนาเทคโนโลยีอย่างโปร่งใส ประเทศจากโลกใต้ (Global South) เสนอให้เน้นความเป็นธรรมด้านความรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเสริมสร้างขีดความสามารถของเยาวชนเพื่อให้การวิจัยเป็นทรัพยากรสาธารณะของมนุษยชาติ
 
การประชุม STS Forum 2025 สรุปอย่างชัดเจนว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของมนุษย์อย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่หากปราศจากจริยธรรม ความเท่าเทียม และความยั่งยืน ความก้าวหน้านั้นอาจกลายเป็นความเหลื่อมล้ำใหม่ สาระสำคัญที่ได้รับคือ การสร้างสัญญาสังคมใหม่ระหว่างวิทยาศาสตร์กับสังคม (New Social Contract) ที่รวมความหลากหลายขององค์ความรู้ สร้างสถาบันที่ยืดหยุ่น และเชื่อมโยงนวัตกรรมกับคุณค่ามนุษย์อย่างแนบแน่น