สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

FoodTech สถานการณ์ โอกาส ความท้าทาย

12 กันยายน 2568 136

FoodTech สถานการณ์ โอกาส ความท้าทาย


🍽️ “วงการอาหาร” หนึ่งในภาคธุรกิจไม่มีวันตาย ! แต่การประกอบธุรกิจอาหารกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีความท้าทายทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหาร และความผันผวนของการลงทุน

🛵การเข้าถึงอาหารสำหรับหลายๆ คนอาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะมีทั้งร้านสะดวกซื้อ และบริการ Delivery มากมายที่ทำให้การสั่งอาหารเป็นเรื่องง่ายแค่เพียงปลายนิ้ว จึงไม่แปลกที่จะมองข้ามความสำคัญของ “ความมั่นคงทางอาหาร” ซึ่งถือเป็นวาระเร่งด่วนที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติออกมาเตือนว่า โลกต้องเพิ่มการผลิตอาหารอีกกว่า 60% ถึงจะเพียงพอต่อจำนวนประชากรในอนาคต 

👩‍🍳 ความมั่นคงทางอาหารไม่ได้วัดแค่ “ปริมาณ” แต่ยังหมายถึงคุณค่าทางโภชนาการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงได้อย่างเพียงพอ แม้โลกเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหรือสภาพภูมิอากาศผันผวน ปัญหานี้เองที่ผลักดันให้ FoodTech ถูกมองว่าเป็น “คำตอบ” ของอนาคต ที่จะช่วยให้โลกอยู่รอดได้

📉 ทว่าภาวะเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หดตัว ทำให้การลงทุนในสตาร์ตอัปนี้ชะลอลงในปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะเห็นสัญญาณฟื้นตัวในปี 2024 ที่ครึ่งปีแรกมีการระดมทุนรวม 7.9 พันล้านดอลลาร์ แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นการลงทุนใน Late-stage deals ไม่ใช่การลงทุนในสตาร์ตอัปกลุ่มใหม่ ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ยังต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด

หากเจาะดูตัวเลขลงทุนทั่วโลก สหรัฐอเมริกายังครองแชมป์ด้วยเม็ดเงินกว่า 8.7 พันล้านดอลลาร์ และมีระบบนิเวศ FoodTech ใหญ่ที่สุดในโลก สัดส่วนการลงทุนค่อนข้างสมดุลอยู่ที่ Food Science 37%, AgTech 30%, Delivery 21% และ Food Service 8% โดยการลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นการผลิตอาหารนวัตกรรม เช่น โปรตีนทางเลือก เป็นต้น 

ในขณะที่อินเดีย และจีน ตามมาที่อันดับสองและสาม ด้วยเม็ดเงินการลงทุนกว่า 2.2 และ 2.1 พันล้านดอลลาร์ จีนที่เคยเน้นการลงทุน Delivery สูงหลายปีก็เริ่มมีการชะลอตัวลง ในขณะที่อินเดียยังคงมีการลงทุนในกลุ่ม Delivery มากถึง 62% ควบคู่กับการผลักดันธุรกิจ AgTech 16% ที่ทำให้สตาร์ตอัปในระบบนิเวศ มีส่วนช่วยเหลือเกษตรกรให้เข้าถึงตลาดได้ดียิ่งขึ้น

🚀 ถึงแม้ว่าตัวเลขเหล่านี้ จะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องติดตาม แต่ขณะเดียวกันช่วงระหว่างปี 2024 ถึง 2025 ก็ยังมีสตาร์ตอัปที่สามารถระดมเงินลงทุนจนขยับสถานะขึ้นเป็นยูนิคอร์นได้สำเร็จถึง 3 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นบริษัทที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา โดย 2 รายเป็นแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค สะท้อนการกระจายความเสี่ยงที่มากขึ้นของการลงทุน ซึ่งก้าวออกจากกรอบเดิมที่เน้นเทคโนโลยีเป็นหลัก 

📊 ในแง่ของการออกจากตลาด (Exits) มีทั้งการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการ IPO ซึ่งเป็นภาพแบบเดียวกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าตัวเลขการลงทุนใน FoodTech จะยังคงซบเซา แต่ผลการดำเนินงานของบริษัท FoodTech ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลับเป็นแสงสว่างที่แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าแค่การพึ่งพาเงินทุนจาก Venture Capital เท่านั้น

ตัวอย่างของธุรกิจ FoodTech ที่ประสบความสำเร็จจากการ IPO อย่าง ‘Swiggy’ ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากการขนส่งอาหารในอินเดีย ก่อนขยายสู่การส่งสินค้าหลากหลายประเภท จนกลายเป็นแพลตฟอร์มไฮเปอร์โลคอลรายใหญ่ระดับโลก การเข้าตลาดหลักทรัพย์ผ่าน IPO ในพฤศจิกายน 2024 ได้รับความสนใจจากการเสนอขายที่มีการจองซื้อกว่า 3.59 เท่า ปัจจัยความสำเร็จมาจากชื่อเสียงแบรนด์ ศักยภาพการเติบโตของตลาด โมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย

🥘 จากสถานการณ์ที่ทุกประเทศต้องเร่งคว้าโอกาสจากธุรกิจ FoodTech อะไรคือโอกาสและอุปสรรคสำหรับการส่งเสริม FoodTech Startup ในไทย โดยข้อมูลจาก Thailand FoodTech Ecosystem Whitepaper ที่ NIA ร่วมกับ Bio Buddy จัดทำขึ้นระบุว่า การที่ค่าใช้จ่ายด้านอาหารในครัวเรือนต่อเดือนคิดเป็น 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้นนับเป็นโอกาสอันดีในการส่งเสริมสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหาร ประกอบกับคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z และมิลเลนเนียลมีความเข้าใจและสนใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้นอาหารที่มีกระบวนการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะยิ่งมีแต้มต่อในตลาด รวมถึงจำนวนผู้เล่นในระบบนิเวศของเมืองไทยยังมีไม่มากเมื่อเทียบกับโอกาสและความเป็นไปได้ ประเทศไทยยังต้องการความคิดสร้างสรรค์ใหม่ที่นำมาปรับใช้กับห่วงโซ่อาหาร โดยเฉพาะนวัตกรรมที่เน้นไปยังผู้ผลิตที่เป็นต้นน้ำ

นอกจากนี้เรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางอาหารและภูมิประเทศของไทยยังเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทั่วโลกยังมองว่าเป็นศูนย์กลาง FoodTech ได้ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคและควรเร่งแก้ไข คือการขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและเอกชน อาหารทางเลือกยังถูกมองว่ามีราคาค่อนข้างสูง วัตถุดิบทางเลือกส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่าการผลิตในประเทศ การแข่งขันจากประเทศในภูมิภาคเดียวกัน รวมไปถึงภัยคุกคามทางธรรมชาติ และภัยคุกคามทางมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดตลาดหรือการลงทุนที่ขาดความรับผิดชอบ

🤝 เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีอาหารของไทยอย่างต่อเนื่อง NIA จึงมีกลไกการสนับสนุน ตั้งแต่การให้ทุนสำหรับธุรกิจที่มีศักยภาพ โครงการอบรมบ่มเพาะและเร่งการเติบโตอย่าง SPACE-F และล่าสุดกับโครงการ Thai Kitchen: Crafted FoodTech Accelerator Program เร่งสร้างธุรกิจนวัตกรรมอาหารไทย ให้สามารถขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่าน 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การให้คำปรึกษาแบบเจาะจงจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของวงการ การพัฒนาแบรนด์และสื่อสารคุณค่าของผลิตภัณฑ์ กิจกรรมจับคู่ธุรกิจให้เข้าถึงพันธมิตร และการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และการสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรม

🌏 ความมั่นคงทางอาหาร คือรากฐานของสังคมที่มั่นคงและยั่งยืน บนโลกที่เปลี่ยนเร็วด้วยเทคโนโลยี สตาร์ตอัปจึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ประเทศก้าวนำ ไทยเองจึงต้องลงทุนในความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และระบบนิเวศ เพื่อให้ FoodTech ไทยไม่เพียงตอบโจทย์ปากท้อง แต่ยังยืนหยัดบนเวทีโลก

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศสตาร์ตอัป FoodTech เพิ่มเติม สามารถอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ที่ Thailand FoodTech Ecosystem Whitepaper: https://www.nia.or.th/bookshelf/view/265 

อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.sdgmove.com/2021/05/11/sdg-vocab-food-security/ 
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1158337
https://digitalfoodlab.com/global-foodtech-2024/ 
https://digitalfoodlab.com/foodtech-unicorns-in-2025/ 
https://www.nia.or.th/bookshelf/view/265
https://www.nia.or.th/index.php/thaikitchen-orientation-workshop