สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Search
color contrast
Normal
Black & White
Black & Yellow
font size

"เก๊าไม้ ล้านนา" ปลูกป่า สร้างธุรกิจ ส่งต่อการเรียนรู้ สู่ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของชีวิตและสิ่งแวดล้อม

20 กันยายน 2568 30

"เก๊าไม้ ล้านนา" ปลูกป่า สร้างธุรกิจ ส่งต่อการเรียนรู้ สู่ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของชีวิตและสิ่งแวดล้อม

 

เก๊าไม้ ล้านนา

เมื่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน กลายเป็นหัวใจของการออกแบบพื้นที่เรียนรู้ ท่ามกลางเมืองเชียงใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว “Kaomai Estate 1955” หรือ “เก๊าไม้ล้านนา รีสอร์ท” จึงไม่ได้เป็นเพียงที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่เรียนรู้ ที่รวมเอาแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อม สถาปัตยกรรมเก่า และนวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อการเรียนรู้ระบบนิเวศและพื้นที่สีเขียวมาผสานกันอย่างลงตัว ... วันนี้เรื่องราวของ คุณจักร์ เชิดสถิรกุล ผู้ผลักดันให้สถานที่แห่งนี้ เปลี่ยนผ่านจากอดีตโรงบ่มใบยาสูบเก่า กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมสมัย ที่ยังคงคุณค่าทางนิเวศและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง อาจจะช่วยให้คุณเห็นภาพโครงการด้านระบบนิเวศที่ไม่ได้หมายถึงการเอาต้นไม้มาปลูกรวมกันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ผมเชื่อว่าการอนุรักษ์ธรรมชาติไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว - Pocket Forest ของเรา สะท้อนคุณค่าของสิ่งที่ไม่ใช่ผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จากพื้นที่โรงงานเก่า เรานำนวัตกรรมเข้ามาฟื้นฟูให้เป็นห้องเรียนธรรมชาติแห่งอนาคต”

คุณจักร์ เชิดสถิรกุล (จักร์)

คุณจักร์ เชิดสถิรกุล (จักร์)
โครงการ “พื้นที่การเรียนรู้พรรณไม้และการปลูกเห็ดป่าด้วยเทคโนโลยีการสร้างสิ่งแวดล้อมเสมือน (AR)”

 

“เก๊าไม้ล้านนา เริ่มต้นจากธุรกิจโรงบ่มใบยาสูบเก่าของครอบครัวที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ปี 2498 แต่เมื่อธุรกิจเดิมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ครอบครัวของคุณจักร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่นี้ให้กลายเป็นที่พักท่ามกลางธรรมชาติ ที่แม้จะเผชิญความท้าทายจากสถานที่ตั้ง ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่กว่า 30 กิโลเมตร แต่ด้วยความเข้าใจในบริบทและกลุ่มเป้าหมาย ทางครอบครัวและคุณจักร์จึงหันมาจับกลุ่มนักท่องเที่ยวสายโยคะ และผู้แสวงหาความสงบที่หลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ และค่อย ๆ ก่อตั้งเป็นสถานที่พักผ่อนที่โดดเด่นด้วยงานอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ การันตีด้วยรางวัลจาก องค์การยูเนสโกเอเชีย-แปซิฟิก (UNESCO Asia-Pacific) ประเภท งานออกแบบที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม สาขาการออกแบบใหม่ในบริบทมรดก ประจำปี 2018 จากตัวอาคารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากเรื่องราวของชุมชนที่ทำอุตสาหกรรมใบยาสูบเก่าเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว ผมต้องขอบคุณคุณพ่อผม ที่รักต้นไม้มากถึงขนาดที่การตัดแต่งกิ่งยังต้องขออนุมัติ จึงทำให้เรามีต้นไม้ใหญ่เต็มพื้นที่ขนาดนี้ จนวันนี้ห้องพักของเราทั้งหมด 34 ห้องถูกดัดแปลงมาจากกลุ่มอาคารโรงบ่มใบยาสูบเก่า 18 หลังที่มีต้นไม้เติบโตรอบ ๆ อาคาร” คุณจักร์เริ่มปูเรื่องราวให้เราเข้าใจพื้นที่เมื่อเราได้มีโอกาสพูดคุยกัน

คุณจักร์เล่าถึงที่มาของ โครงการ พื้นที่การเรียนรู้พรรณไม้และการปลูกเห็ดป่าด้วยเทคโนโลยีการสร้างสิ่งแวดล้อมเสมือน (AR) ที่ได้รับการสนับสนุนจาก NIA ว่า “แรงบันดาลใจหนึ่งของการเริ่มดำเนินโครงการนี้ มาจากประเด็นฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่ท้าทายเมืองเชียงใหม่มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าสาเหตุมาจากปัจจัยที่เราควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ ... หนึ่งในสิ่งที่เราควบคุมได้ คือการที่สมาชิกในสังคมทางภาคเหนือที่ยังมีการเผาเพื่อหาของป่า ซึ่งการเผาแต่ละครั้งนั้นสร้างผลกระทบกับธรรมชาติอย่างมาก ... เราจึงเริ่มศึกษา และพบว่า “เห็ดถอบ” ที่คนนิยมไปหาจากในป่านั้น จริง ๆ เราสามารถนำเชื้อเห็ดไปเพาะในพื้นที่ธรรมชาติให้เห็ดเติบโตเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ดังนั้นเราจึงตั้งใจออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ที่สนุกและได้ประโยชน์ สร้างเป็นพื้นที่การทดลอง (Sandbox) ที่แสดงให้เห็นจริง ๆ ว่าแนวคิดการเพาะเห็ดถอบในพื้นที่ธรรมชาติในเขตเมืองนั้นเป็นไปได้ และไม่จำเป็นต้องเข้าไปเผาป่าตามวิถีเดิม ... พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงเปิดต้อนรับแขกผู้มาเข้าพัก แต่เรายังเปิดให้ผู้มาศึกษาดูงาน และใช้เป็นพื้นที่ถ่ายทอดการเรียนรู้ร่วมกับชุมชนรอบข้างด้วย ... กิจกรรมในพื้นที่มีมากมาย ตั้งแต่สำรวจป่าธรรมชาติ เดิน Canopy Walkway ส่องสัตว์พื้นถิ่น ฟังเสียงแมลง กิจกรรม Workshop โดยคนในชุมชน การสำรวจข้อมูลป่าของเราผ่านภาพจำลองในอีก 10 ปี – 100 ปี และการเล่นเกม AR ผ่านมือถือ ซึ่งกิจกรรมหลังนี้เด็ก ๆ ชอบกันมาก และเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ”

“เมื่อแรงผลักดันของเราชัดเจน NIA คือ Partner แรกที่เรามองหา เพื่อที่จะทดสอบแนวคิดเราด้วย ว่ายังต้องปรับปรุงส่วนไหนอีกบ้าง โชคดีที่ คณะอนุกรรมการจาก NIA เห็นด้วย และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากมาย หนึ่งปีกับ NIA เราพัฒนานวัตกรรมการออกแบบพื้นที่ให้มีความอุดมสมบูรณ์เชิงระบบนิเวศ ผ่านการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญมากมาย โดยก่อนการพัฒนานั้น เรามีการใช้เวลาศึกษาข้อมูลของพื้นที่เดิม โดยคำนึงถึงสภาพพรรณไม้ ปริมาณแสงแดด แหล่งน้ำเดิม เป็นระยะเวลามากกว่าร้อยละ 30 ของระยะเวลาโครงการทั้งหมด ก่อนจะออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ และนำนวัตกรรมที่เหมาะสมมาใช้เพื่อสร้างความน่าสนใจขึ้น”

คุณจักร์สะท้อนหลักคิดให้เราฟังต่อว่า “ความตั้งใจออกแบบพื้นที่เรียนรู้แห่งนี้ ยึดหลักตามแนวคิด วิธีพรรณไม้โครงสร้าง (Framework Species Method) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการฟื้นฟูระบบนิเวศของป่าที่มีงานวิจัยรองรับโดยหน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยใช้ทั้งพันธุ์ไม้เบิกนํา (Pioneer species) และชนิดพันธุ์โตช้าหรือพันธุ์ไม้เสถียร (Climax species) ถูกออกแบบให้เป็น ระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ ที่รองรับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือผู้สูงวัย ผ่านหลัก Universal Design ที่เชื่อมโยงทั้งเส้นทางเดิน การเข้าถึง และการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี AR นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่โดดเด่นคือ การเชิญชวนชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้จากปราชญ์ท้องถิ่นในฐานะ ครูภูมิปัญญา เช่น การเปิดโอกาสให้ชุมชนบ้านดงป่างิ้ว มาถ่ายทอดองค์ความรู้การทำเครื่องเขินโตกลายทอง หรือการให้ชุมชนสบหารมาสอนเทคนิคการจักสานไม้ไผ่ เป็นต้น”

ชุมชนสบหารมาสอนเทคนิคการจักสานไม้ไผ่

“นอกจากนี้พื้นที่ทดลองของเรา ยังได้ทำการเพาะเชื้อเห็ดเผาะ เห็ดเยื่อไผ่ เห็ดเรืองแสง ทดลองปล่อยปลากัดป่า และพัฒนาบึงบำบัดน้ำเสียด้วยพืชในรูปแบบพื้นที่ชุ่มน้ำประดิษฐ์ (Constructed Wetland) ซึ่งได้นำไปทดสอบแล้ว ผ่านมาตรฐานน้ำทิ้ง สามารถนำกลับไปใช้ในการเพิ่มความชื้นให้กับพื้นที่ได้ วันนี้บนพื้นที่ขนาด 10 ไร่ เราสามารถพบสัตว์ แมลง และพรรณไม้อีกหลากหลายชนิด ที่ไม่เพียงแต่สร้างร่มเงา แต่ยังมีคุณค่าทางนิเวศวิทยา ทั้งหมดรวมกันกลายเป็น 1 ห้องเรียนธรรมชาติที่ทุกคนเข้าถึงได้ทุกวัน”

ก่อนจากกันไป คุณจักร์ได้ฝากถึงคนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียวว่า “การเริ่มต้นอนุรักษ์ธรรมชาติ – แค่เพียงคุณระมัดระวังการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง และระมัดระวังเรื่องการจัดการขยะ เท่านี้เราก็เริ่มช่วยรักษาธรรมชาติได้แล้ว จากผลการดำเนินงานของแนวคิดการสร้างการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ที่ไม่ใช่แค่ อนุรักษ์ แต่คือ การออกแบบแผนการดำเนินงาน โดยปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการเรียนรู้ในปีแรกแล้วกว่า 300 คน ซึ่งช่วยสร้างพฤติกรรมและจิตสำนึกใหม่ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ให้เกิดขึ้นจริงในระดับรากฐาน ดังนั้นพื้นที่สีเขียวจากเก๊าไม้ล้านนานี้ จึงไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตผู้เข้าชม แต่ยังนำเสนอวิธีคิดของผู้คนในท้องถิ่น และสร้างวิธีปฏิบัติใหม่ที่ ไม่ต้องเผาเพื่อหาของป่า และสำนึกรักษ์ธรรมชาติ เพื่อความยั่งยืนต่อไป”

ขอขอบคุณบทสัมภาษณ์และรูปภาพจาก

  • นายจักร์ เชิดสถิรกุล CEO - บริษัท ฟาร์มทุ่งเสี้ยว จำกัด ผู้ดูแลโครงการ “เก๊าไม้ เอสเตท 1955 เชียงใหม่” และโครงการ “พื้นที่การเรียนรู้พรรณไม้และการปลูกเห็ดป่าด้วยเทคโนโลยีการสร้างสิ่งแวดล้อมเสมือน (AR)”

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: 

 

สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย

  • นางสาวพิชญาภา ศิริรัตน์ (กิ๊ฟ)
    นักพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมรายพื้นที่ 
    สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)