
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

การให้บริการของ NIA

ความเคลื่อนไหวของ NIA

ช่องทางในการติดต่อกับ NIA
เจาะวิธีประเมินมูลค่าบริษัท ที่ผู้ประกอบการควรรู้ !

💬 Price is what you pay. Value is what you get. - วลีคลาสสิกที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงอยู่เสมอในแวดวงการลงทุน
💰 คำกล่าวนี้สะท้อนแนวคิดสำคัญที่ว่า “ราคา” อาจเป็นเพียงตัวเลขที่มองเห็นได้ แต่ “มูลค่า” คือสิ่งที่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของสิ่งนั้น ในโลกธุรกิจมูลค่าของบริษัทเปรียบเหมือนภาพสะท้อนของศักยภาพ ว่าธุรกิจมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดในสายตาของนักลงทุนและตลาด
📊 การประเมินมูลค่าบริษัทจะพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งความแข็งแกร่งผู้บริหารและทีมงาน ศักยภาพของตลาด รูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่ใช้ สำหรับธุรกิจสตาร์ตอัปอาจแตกต่างออกไปเล็กน้อยจากธุรกิจปกติ โดยสิ่งที่นักลงทุนนำมาคิดเป็นปัจจัยสำคัญ จะเน้นไปที่ศักยภาพของเจ้าของและทีมงาน ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึง Passion ความตั้งใจ และการเป็นทีมเดียวกัน โดยเฉพาะการศึกษาข้อมูล Insight ต่างๆ จนสามารถตอบคำถามของนักลงทุนได้
🛠️ การรับรู้แนวทางในการประเมินมูลค่าบริษัทจึงไม่ได้มีความสำคัญเพียงในมุมของนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็น “เครื่องมือเชิงกลยุทธ์” สำหรับผู้ประกอบการในการวางแผนการทำธุรกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุน การเข้าตลาดหลักทรัพย์ การควบรวมกิจการ หรือการวางกลยุทธ์ทางการเงินขององค์กร
👉 NIA จึงขอพาผู้ประกอบการมาทำความเข้าใจ “วิธีการประเมินมูลค่าบริษัท (Valuation)” โดยจะแบ่งกรอบการประเมินออกเป็น 2 กรอบใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ Top Down Approach และ Bottom Up Approach
⬇ ภายใต้กรอบมุมมองแบบ Top Down Approach จะเป็นมุมมองในการประเมินจากภาพใหญ่ โดยพิจารณาจากปัจจัยภายนอก เช่น ขนาดของตลาด ขนาดของประชากร การเติบโตอุตสาหกรรม ซึ่งจะแบ่งย่อยออกเป็นหลายรูปแบบด้วยกัน คือ
• Multiples – Market Approach การประเมินด้วย “ตัวคูณทางการเงิน” (Multiple) ไม่ว่าจะเป็น GMV, Revenue, EV/EBITDA และ Profit ต่างๆ โดยนำมาคูณเข้ากับ KPI ทางการเงินของบริษัทแบบรายปีเพื่อสะท้อนมูลค่าที่เหมาะสม วิธีนี้ต้องอาศัยการเลือก Multiple ที่สอดคล้องกับลักษณะอุตสาหกรรม เพราะธุรกิจที่ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างกัน KPI ทางการเงินแต่ละตัวก็จะมีน้ำหนักความสำคัญไม่เท่ากันนั้นเอง
📅 ยกตัวอย่างเช่น สำหรับธุรกิจสตาร์ตอัประยะ Seed Stage การประเมินมักจะใช้ Multiple ที่เป็น GMV หรือ Revenue เพราะจะให้ความสำคัญไปที่ศักยภาพในการสร้างรายได้มากกว่าผลกำไร นอกจากนั้น KPI รายปีจะปรับไปใช้รูปแบบของ Monthly Recurring Rate (MRR) หรือตัวเลขรายเดือนล่าสุดคูณด้วย 12 ก่อนนำไปคูณเข้ากับ Multiple เพื่อดูมูลค่าที่เหมาะสมของบริษัท
• Comparable Company Analysis การประเมินโดยใช้การเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีโมเดลธุรกิจใกล้เคียง เพื่อดูว่าบริษัทเป้าหมายอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ผ่านการศึกษาข้อมูล KPI ต่างๆ ของธุรกิจที่นำมาเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเติบโต การทำรายได้ ระยะเวลาการลงทุน ฯลฯ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบเป็นปัจจัยในการคำนวณหามูลค่าบริษัท
📱 สำหรับธุรกิจที่อาศัยโมเดล Subscriber หรือ User เป็นหลัก KPI ที่เหมาะสมจะอยู่ในรูปแบบของ Value/Subscriber หรือ Value/User ที่พิจารณาว่า Subscriber หรือ User 1 คน สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเท่าไร ซึ่งจะถูกนำมาปรับใช้สำหรับคิดมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า (LTV) หรือต้นทุนที่จะใช้ในการดึง User ให้เข้ามาในระบบ (CAC) เพื่อช่วยให้เห็นภาพของศักยภาพและเปรียบเทียบได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
• Market sizing & Funnel การประเมินศักยภาพของธุรกิจในอุตสาหกรรม โดยเริ่มจากหาขนาดตลาดรวม (TAM) ก่อนย่อยเป็นตลาดเข้าถึงได้ (SAM) และตลาดที่คาดว่าจะครองได้จริง (SOM) เพื่อคำนวณส่วนแบ่งทางการตลาดและคาดการณ์การเติบโตในอนาคต
🛒 ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ เช่น ธุรกิจที่กำลังประกอบการอยู่ในตลาด E-Commerce ขายเสื้อผ้าผู้หญิงโดยเฉพาะ การคำนวณ Market sizing & Funnel ก็ต้องคิดขนาดของตลาด E-Commerce ในปัจจุบัน -> ขนาด E-Commerce เสื้อผ้า -> ขนาด E-Commerce เสื้อผ้าผู้หญิง -> ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจที่สามารถสะท้อนถึงตัวเลขสัดส่วนทางการตลาด แล้วจึงนำไปพิจารณาดูการเติบโตตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์การเติบโตในอนาคตที่บ่งบอกถึงการทำกำไร และกรอบการลงทุนในอนาคต ก่อนจะคิดย้อนเป็นตัวเลขการลงทุนที่เหมาะสมในปัจจุบัน
⬆ ภายใต้กรอบมุมมองแบบ Bottom Up ที่จะเป็นมุมมองจากจุดเล็กๆ อย่างตัวบริษัท แล้วค่อยขยายออกมาเปรียบเทียบกับตลาดหรือศักยภาพในอุตสาหกรรม
• Time Value of Money (DCF, NPV และ DDM) รูปแบบการประเมินมูลค่าของกระแสเงินสด หรือศักยภาพในการทำเงินของธุรกิจ แล้วจึงคำนวณกลับมาคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันผ่านอัตราคิดลด (Discount Rate) ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัย เช่น อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงของกิจการ เพื่อให้ผลประเมินสะท้อนสภาพเศรษฐกิจและความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
📈 แต่จะเห็นว่ารูปแบบการประเมินผ่านมูลค่าของกระแสเงินสด อาจไม่เหมาะสมกับธุรกิจสตาร์ตอัป เพราะต้องใช้การคาดการณ์จาก KPI ทางการเงิน จึงมีอีกแนวทางในการประเมิน คือ Hybrid DCF ที่จะปรับ KPI ทางการเงินมาเป็น KPI ในเชิงการประกอบการ เช่น จำนวน User ที่มี จำนวนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ซึ่งอัตราการเติบโตของการใช้ทรัพยากรเหล่านี้จะถูกนำไปแปรงสภาพเป็นเม็ดเงินที่บริษัทจะทำได้ในอนาคต แล้วจึงกลับมาใช้กรอบความคิดเดิมผ่านอัตราคิดลด (Discount Rate) เช่นกัน
🔎 การประเมินมูลค่าบริษัท ถือว่าเป็นสิ่งมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง Exit ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการ (M&A) หรือการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะช่วยให้ทั้งผู้ขายและนักลงทุนเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การประเมินมูลค่าที่ดีไม่ควรใช้เพียงวิธีใดวิธีหนึ่งแต่ควรใช้หลายวิธีประกอบกัน เพราะแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัด การตั้งกรอบตัวเลขกว้างๆ จะช่วยในการพิจารณาภาพรวมที่เหมาะสม และความเป็นไปได้ของมูลค่าธุรกิจอย่างรอบด้าน
💼 ที่เห็นตัวอย่างได้ชัดเจนคือการประเมินมูลค่าของ LINE MAN Wongnai สตาร์ตอัปเทคโนโลยีไทยที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับ สั่งอาหารและจัดส่ง และบริการเสริมอื่น ๆ ซึ่งการประเมินจะพิจารณาจากศักยภาพตลาด จำนวนผู้ใช้ และอัตราการเติบโตของธุรกิจควบคู่กับการเปรียบเทียบคู่แข่ง เพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงและโอกาสในการเติบโต[RK1]
จึงจะเห็นว่ามูลค่าบริษัทไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางบัญชี แต่คือ “เครื่องมือเชิงกลยุทธ์” ที่ช่วยผู้ประกอบการและนักลงทุนให้เข้าใจศักยภาพที่แท้จริงของธุรกิจ การรู้จักและเข้าใจวิธีประเมินมูลค่า จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการเติบโต ดึงดูดนักลงทุน และต่อรองดีลสำคัญได้อย่างมั่นใจ
เรียนรู้และเข้าใจการลงทุนในสตาร์ตอัปให้มากขึ้นได้ในหลักสูตร Investor Course ลงทะเบียนเรียนออนไลน์ได้ฟรี! ที่ https://moocs.nia.or.th/course/investor-course